วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Raygun Magazine & David Carson

David Carson
art director, graphic designer, film director และ photographer



ผลงานหนังสือ
- The End of Print : The Graphic Design of David Carson
- David Carson : 2nd sight
- Fotografiks
- Trek : David Carson,Recent work

ผู้มีอิทธิพลของ Graphic Designer จนถึงทุกวันนี้
Newsweek magazine ได้กล่าวว่าเขาเป็นผู้เปลี่ยนแปลงรูปโฉมของงานทางด้าน Graphic Design
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “Single Handedly”
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักออกแบบอัฉริยะ


Raygun Magazine


1.มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กวัยรุ่น กับ คำๆนี้ “the bibble of music+style”
2.Design Language ได้แก่ radical, subversive, revolutionary และ innovation
3.เนื้อหามีการวิเคราะห์เกี่ยวกับ การมีอยู่ของ media และโครงสร้างของงานออกแบบ
4.แบ่งทำงานกันเป็นหลายฝ่าย (many hands) เช่น type designers, graphic designers,photographers และ illustrators โดยให้ความอิสระ(freedom)ทางด้านการออกแบบ
5.ลักษณะงานเป็นแบบ Post-Modern



Raygun Magazine& David Carson


1. คำว่า“the bibble of music+style” เป็นคำที่ดึงดูดใจต่อ David Carsonสำหรับทำงานออกแบบ
2. David Carson จัดการกับงานออกแบบในลักษณะ fully-formedซึ่งมีรูปแบบ chaotic, abstract style

3. The graphic design เป็นกุญแจตัวสำคัญที่ท้าทายความคิดสำหรับการอ่านได้อย่างชัดเจนและการตั้งคำถามกับชิ้นงานออกแบบ

รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างของสิ่งต่างๆ ประกอบด้วยด้าน 3 ด้าน คือ ด้านกว้าง ด้านยาว ด้านหนา เรียกว่า รูป 3 มิติรูปทรงสามารถวัดขนาดและปริมาตรได้ รูปทรงแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. รูปทรงธรรมชาติ (organic form) ได้แก่ หมายถึง รูปทรงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ได้แก่ คน สัตว์ พืช มีลักษณะ 3 มิติรูปทรงในลักษณะนี้จะให้ความมีชีวิตชีวา
2. รูปทรงเรขาคณิต (geometric form) ได้แก่ รูปทรงที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น รูปทรงสามเหลี่ยม รูปทรงสี่เหลี่ยม รูปทรงกลม ฯลฯสามารถแสดงความกว้าง ความยาว และมิติทางลึกหรือหนามีมวลและปริมาณ
3. รูปทรงอิสระ (free form) ได้แก่ รูปทรงที่เกิดขึ้นอย่างอิสระ ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน เช่น รูปทรงของก้อนเมฆ กระแสน้ำ หรือก้อนหิน
Form & Counter form


Letter form คือ รูปทรงของตัวอักษร
Counter form คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากพื้นที่สีขาวที่อยู่ด้านในของตัวอักษร

ในงานออกแบบกราฟิก หรืองานออกแบบ 2 มิติ นอกจากองค์ประกอบหลักที่เรา ได้พยายามจัดให้ลงตัวแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งจริงๆแล้วมีอิทธิพลมากกับภาพที่เราออกแบบ แต่นักออกแบบ จำนวนไม่น้อยเลยที่มองข้ามไป สิ่งนั้นก็คือ ที่ว่าง (Space)ที่ว่างที่อยู่รอบๆองค์ประกอบในภาพจะสอดประสานกับองค์ประกอบที่อยู่ภายในภาพ ทำให้ภาพเกิดความเป็นภาพ และความเป็นพื้นภาพซึ่งมีอิทธิพลต่อการสื่อความหมายของงานออกแบบได้
1. ภาพและพื้นภาพ (Figure & Background) ในการมองภาพ สมองของเราจะสั่งการให้รับรู้ความสำคัญขององค์ประกอบในภาพต่างๆต่างกันไป เรามองเห็นสิ่งที่เป็นองค์ประกอบหลักที่ถูกเน้นที่เด่นกว่าเป็นตัวงาน เป็นตัวภาพ (Figure) ส่วนที่ว่างรอบๆ ภาพ หรือองค์ประกอบที่เหลือนั้นจะกลายเป็นพื้นภาพ (Background) ไปโดยอัตโนมัติ อาจกล่าวได้ว่า ภาพเป็นตัวหลัก พื้นภาพเป็นตัวรอง
2. พื้นที่ของภาพและพื้นภาพ (Positive & Negative Space) งานออกแบบกราฟิกที่ดี ต้องมีความสัมพันธ์ของภาพและพื้นภาพที่ดีพื้นภาพในงานเป็นเสมือนพระรองที่คอยส่งเสริมตัวภาพหรือพระเอกให้ดูโดดเด่นมากกว่า ซึ่งการส่งเสริมกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปร่างของพื้นที่ว่างโดยรอบๆ ภาพ


Negative Spaceขวา Positive Spaceซ้าย

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า งานกราฟิกจะสวยได้ นอกจากองค์ประกอบข้างในงานแล้ว รูปร่างขนาดพื้นที่ว่างรอบรูปก็สามารถเป็นตัวบ่งชี้ความสวยงามลงตัวของงานได้

Helvetica VS Arial

ลักษณะอันคล้ายคลึงของ typeface ของ Helvetica กับ Arial

Helveticaบน Arialล่าง

มีบางตัวอักษรที่แยกออกจากไม่ได้ของHelvetica กับ Arial


นักออกแบบชาวไทยยังเลียนแบบ Helvetica โดยใช้คำว่า Manoptica

โดย มานพ ศรีสมพร ที่ถูกใช้เมื่อพ.ศ.2516ถึง2530 เป็นอักษรขูด ชนิดไม่มีหัว


Emigre


ผู้ก่อตั้งโดย: Rudy Vanderlans และ Zuzana Licko

ออกแบบfont:

  • Base 9 and 12 Citizen
  • Dogma
  • Elektrix
  • Filosofia
  • Hypnopaedia
  • Journal
  • Lo-Res
  • Lo-Res
  • Lunatix
  • Matrix II
  • Matrix II Display
  • Modula
  • Narly
  • Oblong
  • Puzzler
  • Senator
  • Soda Script
  • Solex
  • Tall Pack
  • Tarzana
  • Totally Gothic
  • Triplex
  • Variex
  • Whirligig

Massimo Vignelli

นักออกแบบบรรจุภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์สังกัดโชว์รูม วิกเนลลี่แอสโซซิเอท มีคติประจำใจว่า
"ถ้าคุณสามารถออกแบบของสิ่งหนึ่งได้ คุณก็สามารถออกแบบของทุกสิ่งได้เช่นกัน"
เขาได้ทำงานในขอบเขตแห่งธรรมเนียมสมัยใหม่และเน้นความง่ายโดยการใช้รูปแบบเรขาคณิตพื้นฐาน

การศึกษา
Interior Design ที่สถาบัน The Politecnico di Milano
และศึกษาต่อที่ Universita'di Architettura, Venice

การทำงาน
  • บริษัท Unimark International
  • บริษัท Vignelli Assocoates
  • บริษัท Design Director of Unimark International coporation
  • บริษัท (AGI) alliance graphique and (AIGA) the america institude of graphic arts, a vice President of the arctitectural league,(IDSA)industrial designer society of america

ผลงาน


ออกแบบสัญลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของNew York

เขาได้ทำงานเกือบทุกแขนงเกี่ยวกับdesign เช่น interior Design, Environmental Design, Graphic Design,Package Design และ Funiture Design เป็นต้น

ที่จัดแสดงงานของMassimo Vignelli
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิแตน
  • พิพิธภัณฑ์บรูคลิน
  • พิพิธภัณฑ์คูเปอร์-เฮวิท

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สัมมนาครั้งที่ 2

เทคโนโลยีการพิมพ์ของโลกตะวันออก

  • พ.ศ. 288 ชาวจีนเป็นชาติแรกที่คิดค้นการพิมพ์ได้สำเร็จ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพิมพ์ระบบเลตเตอร์เพรส(Letterpress)
  • พ.ศ.648 ชาวจีนชื่อไซลั่น ได้คิดวิธีการทำกระดาษขึ้นจากเยื่อของพืช เช่น เยื่อจากต้นปอ ทำให้กระดาษเป็นวัสดุหลักในการเขียนและพิมพ์
  • พ.ศ.718 ชาวจีนได้แกะสลักวิชาความรู้ต่าง ๆ ไว้บนแผ่นหินด้วยวิธีพิมพ์แบบการลอกรูป (stone rubbing)
  • พ.ศ.943 ชาวจีนรู้จักนำเขม่าไฟมาทำเป็นหมึกดำ
  • พ.ศ.1118 จีนได้เริ่มการพิมพ์โดยใช้บล็อกไม้ (wood block printing)
  • พ.ศ.1411 วางเชียะ (Wang Chieh) ได้พิมพ์หนังสื็อเล่มแรกซึ่งยังคงให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ชื่อ วัชรสูตร (Diamond Sutar)
  • พ.ศ.1584-1592 ชาวจีนชื่อไป่เช็ง (Pi Sheng) คิดวิธีที่จะนำแม่พิมพ์ที่ใช้แล้วนำกลับมาเรียงใช้ได้อีก วิธีการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียงพิมพ์
  • พ.ศ.1933 ชาวเกาหลี เป็นชาติแรกที่คิดหล่อตัวพิมพ์ด้วยโลหะได้สำเร็จ นับเป็นการพิมพ์แบบตัวเรียงด้วยโลหะเป็นครั้งแรก

เทคโนโลยีการพิมพ์ของโลกตะวันตก

  • พ.ศ.1963 ยุโรปรู้จักการพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้การพิมพ์ด้วยบล็อกไม้เป็นระบบแรก
  • พ.ศ.1993 ชาวเยอรมันชื่อ โจฮัน กูเตนเบิร์ก (Johann Gutenberg)เป็นบุคคลแรกของชาวตะวันตกได้คิดวิธีการพิมพ์ โดยเรียงตัวด้วยโลหะ โลหะ และยังเป็นคนที่คิดออกแบบตัวพิมพ์ การแกะสลักแม่พิมพ์ การหล่อตัวพิมพ์ การทำหมึกพิมพ์และการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ โดยเครื่องพิมพ์ทำด้วยไม้ ดัดแปลงมาจากเครื่องสำหรับคั้นองุ่นเพื่อทำเหล้าองุ่น ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุด และยังปรากฏให้เห็นจนถึงปัจจุบันคือคัมภีร์ไบเบิ้ล 42 บรรทัด (forty-two line Bible) โดยเริ่มพิมพ์ ในราวปี พ.ศ.1995 นับเป็นจุดเริ่มของการพิมพ์แบบเลตเตอร์เพรสในโลกตะวันตก (ด้วยความสามารถในหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์ กูเตนเบิร์ก จึงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการพิมพ์)
  • พ.ศ.2038 อัลเบรค ดูเรอร์ (Albrecht Durer) ศิลปินช่างแกะไม้ชาวเยอรมัน ได้คิดวิธีการพิมพ์โดยใช้แม่พิมพ์ทองแดง (copper plate engraving)และใช้พิมพ์แบบกราวัวร์ (gravure) นับเป็นครั้งแรกของการใช้แม่พิมพ์พื้นลึก
  • พ.ศ.2333 วิลเลียม นิคโคสัน (William Nicholson)ชาวอังกฤษแห่งนครลอนดอน ได้คิดแท่นพิมพ์แบบทรงกระบอก(cylinderpress) ขึ้น

  • พ.ศ.2336 อลัวส์ เซเนเฟลเดอร์ (Alois Senefelder) ชาวเยอรมันแห่งรัฐบาวาเรีย ได้ค้นพบวิธีพิมพ์หิน (lithography) ซึ่งเป็นวิธีการพิมพ์แบบพื้นราบ (planographic printing) ขึ้นเป็นครั้งแรก

เทคโนโลยีการพิมพ์ของประเทศอเมริกา

  • พ.ศ.2356 ยอร์จ อี. ไคลเมอร์ (George E. Clymer) ชาวอเมริกันแห่งเมือง ฟิลาเดลเฟีย ได้คิดแท่นพิมพ์โคลัมเบียน (columbian press)เป็นเครื่องพิมพ์ระบบคานกระเดื่อง ซึ่งเปลี่ยนจากการหมุน แกนกลางมาเป็นการกดลงด้วยคานแบบเดียวกับที่ใช้ทับกล้วย ซึ่งเบาแรง แต่มีกำลังมากกว่าเครื่องพิมพ์ ชนิดนี้
  • พ.ศ.2401 ยอร์จ พี. กอร์ดอน (George P. Gordon) ชาวอเมริกันแห่งเมืองนิวยอร์ค ได้แม่พิมพ์เพลเตน (platen press) ซึ่งส่วนที่ทำการกดพิมพ์จะเป็นแผ่นราบ เวลาพิมพ์แรงกดจะวิ่งเข้าหาแม่พิมพ์ โดยตัวแม่พิมพ์จะอยู่กับที่ตัวแรงกดจะเป็นที่สำหรับวางกระดาษที่ต้องการจะพิมพ์

  • พ.ศ.2447 อิรา วอชิงตัน รูเบล (Ira Washington Rubel) ช่างพิมพ์ชาวอเมริกันด้นพบแนวคิดของการพิมพ์ในระบบออฟเซต (offset printing) ขึ้น

เทคโนโลยีการพิมพ์ของประเทศไทยการพิมพ์ของไทย


  • พ.ศ.2205 รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับอิทธิพลของการพิมพ์จากชาวยุโรป คณะมิชชันนารีคาทอลิกฝรั่งเศส โดยมีบาทหลวงสังฆราชองค์หนึ่ง ชื่อหลุยส์ ลาโน (Louis Laneau) ได้แต่งและพิมพ์หนังสือเป็นภาษาไทย แต่ใช้พิมพ์ด้วยตัวอักษรโรมัน หนังสือคำสอนทางคริสต์ศาสนาหนังสือไวยกรณ์ไทยและบาลี และพจนานุกรมไทย
  • พ.ศ.2356 มิชชันนารีชาวอเมริกัน คู่หนึ่ง สามีเป็นบาทหลวงชื่อศาสนาจารย์ แอดดอไนราม จั๊ดสัน (Reverend Adoniram Judson) ภรรยาชื่อนางแอน เฮเซนไทล์ จั๊ดสัน (Ann Hazeltine Judson) สังกัดคณะ A.B.C.F.M.(American Board of Commissioners for Foreign Missions) ได้เดินทางมาเผยแผ่คริสต์ศาสนาในประเทศพม่า นางจั๊ดสัน ได้แปลคำสอนของสามีและพระคัมภีร์แมทธิวเป็นภาษาไทย พร้อมกับได้ออกแบบตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้น
  • พ.ศ.2371 ได้มีการจัดพิมพ์หนังสือเป็นตัวอักษรไทย ชื่อตำราไวยกรณ์ไทย (A Grammar of The Thai or Siamese Language) แต่งโดยกัปตันเจมส์โลว์ (Captain James Low) ซึ่งเป็นนายทหารอังกฤษ พิมพ์ที่ TheBaptist Mission Press เมืองเซรัมโปร์ นครกัลกัตตา เรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษอธิบายไวยกรณ์ไทยและมีตัวอย่างหน้าหนังสือไทยอยู่หลายหน้าที่เป็นหน้าตัวเขียนลายมืออักษรไทย พิมพ์ด้วยบล็อกโลหะก็มี พิมพ์ด้วยตัวเรียง
  • พ.ศ.2373 โรเบิร์ต เบิร์น มิชชันนารีคณะลอนดอน ได้ขอซื้อแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์ภาษาไทยจากโรงพิมพ์คณะแบปติสต์ นครกัลกัลตา มาติดตั้งดำเนินการอยู่ที่สิงคโปร์ และได้รับงานตีพิมพ์คำสอนของพวกมิชชันนารีอเมริกันที่อยู่ในกรุงเทพฯเวลานั้นไปจ้างให้ พิมพ์ด้วย
  • พ.ศ.2378 นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley)หรือหมอบรัดเลย์ และคนไทยมักเรียกว่าหมอปลัดเลย์ เป็นมิชชันนารีชาวอเมริกันได้รับมอบแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์ภาษาไทยจากคณะอเมริกันบอร์ด โดยขนย้ายมาจากสิงคโปร์มายัง กรุงเทพฯ
  • พ.ศ.2379 เริ่มติดตั้งแท่นพิมพ์และทดลองพิมพ์ภาษาไทย โดยหมอบรัดเลย์ งานที่พิมพ์มีงานของศาสนาจารย์ชาลส์ โรบินสันซึ่งเป็นพวกคำสอนของศาสนา พระบัญญัติสิบประการ คำอธิบายสั้น ๆและบทสรรเสริญ แต่ตัวอักษรยังไม่สวยงาม และตัวพิมพ์ที่นำมาจากสิงคโปร์ก็ได้สึกหรอเสียหายไปตามเวลา หมอบรัดเลย์จึงได้คิดประดิษฐอักษรไทยขึ้นใหม่
  • พ.ศ.2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้จ้าง โรงพิมพ์ของมิชชันนารี คณะอเมริกันบอร์ด พิมพ์ประกาศห้ามสูบและขายฝิ่น นับว่าเป็นเอกสารทางราชการของไทยฉบับแรกที่ได้จัดพิมพ์ขึ้น โดยใช้ตัวพิมพ์ภาษาไทยที่นำมาจากสิงคโปร์ ประกาศห้ามสูบและ ขายฝิ่นนี้
  • พ.ศ.2387 หมอบรัดเลย์ ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกในเมืองไทย โดยใช้ชื่อว่า บางกอกรีคอดเดอร์ (Bangkok Recorder)
  • พ.ศ.2404 หมอบรัดเลย์ได้ซื้อลิขสิทธิ์หนังสือนิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัย นับเป็นการซื้อขายลิขสิทธิ์ทางการพิมพ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย และได้แต่งและแปลหนังสือเองเช่น หนังสือเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญอเมริกา
  • พ.ศ.2412 แซมมวล จอห์น สมิธ (Samuel John Smith) ได้ตั้งโรงพิมพ์ที่ตำบลบางคอแหลม หมอสมิธเรียกตัวเองว่าครูสมิธ เพราะสอนหนังสือด้วย จึงเรียกว่าโรงพิมพ์ครูสมิธ จัดพิมพ์หนังสือประเภทร้อยกรอง ประเภทหนังสือประโลมโลกพวกจักร ๆ วงศ์ ๆ นอกจากนี้ยังมีหนังสือสยามรีโปสิโตรี (Siam Repository) หนังสือสยามวีคลีแอดเวอร์ไทเซอร์ (Siam Weekly Advertiser) หนังสือจดหมายเหตุสยาม เป็นต้น
  • พ.ศ.2440 โรงพิมพ์อักษรพิมพการ ได้ย้ายไปยังกองมหันตโทษ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพิมพ์กองมหันต์โทษ ภายหลังย้ายไปที่บางขวางจึงเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพิมพ์ลหุโทษ และ ในปี พ.ศ.2482 จึงเปลี่ยนเป็นชื่อโรงพิมพ์มหาดไทย
  • รัชกาลที่ 5แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การพิมพ์ก็ได้ก้าวหน้าไปเป็นอย่างมาก เพราะอารยธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่สยามประเทศ มีการเปิดโรงพิมพ์ไปในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯมีโรงพิมพ์เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก พร้อมกับนำระบบการพิมพ์และเครื่องพิมพ์และเทคโนโลยีทางการพิมพ์ใหม่ ๆ เข้ามา
  • สมัยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 8การพิมพ์เริ่มมาซบเซาเอา เนื่องจากประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และเผชิญกับww. 2วัสดุและอุปกรณ์การพิมพ์ขาดแคลนเป็นอย่างมาก ที่มีอยู่ก็มีคุณภาพต่ำและราคาแพง
  • หลังww.2 การพิมพ์ก็เริ่มฟื้นตัวและเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติและพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

MATHEW CARTER

  • เกิดที่ LONDON , ENGLAND ปี 1937 เขาเป็น TYPOGRAPHY DESIGNER
  • ผลงาน เช่น TYPEFACE BELL CENTENNIAL ให้กับบริษัท

- AT&T TYPEFACE GALLIARD

- MERGENTHALER LINOTYPE TYPEFACE VERDANA

- MICROSOFT TYPEFACE SOPHIA

- MUSEUM OF FINE ART TYPEFACE WALKER สำหรับ WALKER ART CENTER ใน MINNEAPOLIS TYPEFACE WRIGLEYเพื่อใช้กับกีฬาTYPEFACE MILLER ที่ใช้ในนิตยสาร TIMEหนังสือพิมพ์ NEWSWEEK และ US NEWS & WORLD REPORT

BITS TREAM

  • ในปี ค.ศ.1981 เขาและเพื่อน 3 คน คือ MIKE PARKER , CHERIE CONE และ ROB FRIEDMAN ใน CAMBRIDGE ได้ก่อตั้งบริษัทออกแบบตัวหนังสือ เป็นแหล่งผลิตตัวหนังสือที่ใช้กับระบบดิจิตอล

CARTER & CONE TYPE

  • ในปี ค.ศ.1991 เขาและCHERIE CONE ได้ก่อตั้งบริษัทใหม่นี้ขึ้นหลังจากได้ลาออกจาก BITS TREAM

ในปัจจุบันงานของ MATHEW CARTER ยังคงมีให้เห็นกันอยู่ทุกวันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : MATHEW CARTER มีความเกี่ยวข้องกับ Helvetica อย่างไร?

Wim Crouwel

  • เกิดในปี ค.ศ. 1928ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นนักออกแบบกราฟิกและ typograph
  • ผลงาน เช่น Fonts ที่เขาออกแบบ- New Alphabet 1,2 and 3- Stedelijk Alphabet- Fodor Alphabet เป็นต้น

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : ตัวอักษร Helvetica กับ Wim Crouwel มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

Norm'Manuel Krebs and Dimitri Buni

  • นักออกแบบManuel Krebs and Dimitri Buni พวกเขาได้จัดตั้ง Norm studio ขึ้น งานของโนมจะเป็นลักษณะเฉพาะที่เน้นทักษะขั้นสูงในการออกแบบตัวอักษร และการพอมพ์ที่เน้นกับเทคนิคต่างๆ
  • ผลงาน เช่น ออกแบบธนบัตร (ความหมายของการออกแบบ "การเปิดประตูกว้าง ต้อนรับโลกเสรีปัจจุบัน")โดยใช้สิ่งดึงดูดใจและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ความสวยงาม ลงลงงานชิ้นนี้ เป็นต้น

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : ตัวอย่างผลงานของศิลปิน

Push pin studio

ประวัติ

Design Plus(ชื่อเรียกกลุ่มของตัวเอง)

  • ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ.1954 โดย Seymour Chwast , Edward Sorel , Milton Glaser’Reynold Ruffins
  • ผลงาน เช่น Almanack (ปฏิทินบอกเล่าเหตุการณ์)

Push Pin Studios

  • ผลงาน เช่น Flora and fauna in wood(สิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า Monthly Graphic) ,Another Holiday Issue(Push Pin Graphic)

Milton Glaser ,Inc.

  • ผลงาน เช่น Crime (Push Pin Graphic)

ลักษณะผลงานทางศิลปะ

  • Push Pin Studios เป็นงานศิลปะแบบ Modernism
  • Push Pin Studios นิยมใช้ Typeface Helvetica ในงานออกแบบด้วยเหตุเพราะ เป็น Typeface ที่ทันสมัยใช้ได้หลายรูปแบบ

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : Helvetica ที่ใช้ใน Push pin studio

AIGA

  • AIGA ย่อมาจาก American Insitulre or graphic art เป็นสถาบันการออกแบบจากอเมริกา
  • จัดตั้งในปี 1914
  • เป็นแหล่งรวมของเหล่าดีไซด์เนอร์เริ่มต้นแลกเปลี่ยนความคิดข้อมูล มีส่วนร่วมในการวิจารณ์รวมไปถึงการค้นคว้าและการเรียนการสอนอย่างเข้มข้น สถาบันนี้จะสนับสนุนและนำเสนองานออกแบบอย่างมีมาตรฐาน และเก็บรวบรวมผลงานเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่

เว็บไซค์ : http://www.aiga.org/

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : Art Director ของ AIGA คนปัจจุบันคือใคร?(ด้วยเหตุที่ว่า Art Director มีผลต่อแนวทางการออกแบบซึ่งในแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป)

International typographic style

  • งานออกแบบในรูปแบบของ Swiss Style ซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลา 1950's-1970's
  • เป็นรูปแบบพื้นฐานของ Typography
  • จุดเด่นในการออกแบบคือ
- การออกแบบจะเน้นย้ำเรื่องความสะอาดตา
- การใช้ grid เพื่อความเรียบร้อย
- ตัวอักษรแบบ san-serif type face โดยเฉพาะ Helvetica ที่เป็นที่รู้จักกันดีในช่วงปี 1961
- อาจใช้ภาพถ่ายขาวดำแทนการวาดรูป หรือการวาดรูปเขียน
  • Artists เช่น Josef Muller ,Brockmann เป็นต้น
  • ในปัจจุบันนี้ยังได้รับอิทธิพลของการออกแบบนี้อยู่ด้วยเช่นกัน

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : การใช้ Helvetica ใน International typographic style

Postmodernism

มีเกณฑ์การแบ่งยุคตามแนวความคิด
ก่อนที่จะศึกษาศิลปะยุค Post-Modernism เราต้องรู้จักศิลปะยุค Modernism เสียก่อน ซึ่งเป็นยุคที่เกิดก่อนหน้ายุคนี้

ยุค Modernism
เป็นยุคที่มีลักษณะทางศิลปะที่เน้นความสำคัญเกี่ยวกับ "Form" ซึ่งถูกลดและตัดทอน(มีข้อมูลเพิ่มเติมอีก)ลง
ยุค Post-Modernism
- สังคมหลังสมัยใหม่กลางปี ค.ศ.1980
- เป็นยุคที่มีลักษณะทางศิลปะต่อต้านรูปแบบศิลปะวัตถุที่เคร่งครัด(Modernism) ลักษณะของผลงานจะเป็นแนวตลกขบขัน ล้อเลียน เป็นต้น
- Artists เช่น Judy Chicago ,Richard Prince เป็นต้น
- นอกจากนี้ยังมีศาสตร์และศิลป์ด้านอื่นๆอีกมากมายของแนวความคิด Post-Modernism เช่น วรรณกรรม ดนตรี ฯลฯ
ข้อควรศึกษาเพิ่มเติม : ตัวหนังสือที่ใช้ในยุคPost-Modernism

ตัวอักษรในสภาพแวดล้อมและชีวิตประจำวัน

ตัวอักษรมีไว้เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของการสื่อสารให้แก่ผู้รับสาร
ปัญหา:การสื่อสารที่ใช้ภาษาไทยทำให้ชาวต่างชาติไม่สามารถเข้าใจได้
ข้อสังเกต:บางป้ายไม่มีDesign เช่น ป้ายรับสมัครพนักงาน ป้ายขายบ้าน เป็นต้น
ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม :
1.ให้กังขาว่าป้ายจำพวกเหล่านี้ควรมี design เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่?
2.ศึกษาตัวอักษรของไทยที่ใช้สภาพแวดล้อมและชีวิตประจำวันในประเทศของเราว่ามีลักษณะเป็นแบบไหน อย่างไร ทำไม ที่ไหน?