เทคโนโลยีการพิมพ์ของโลกตะวันออก

- พ.ศ. 288 ชาวจีนเป็นชาติแรกที่คิดค้นการพิมพ์ได้สำเร็จ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพิมพ์ระบบเลตเตอร์เพรส(Letterpress)
- พ.ศ.648 ชาวจีนชื่อไซลั่น ได้คิดวิธีการทำกระดาษขึ้นจากเยื่อของพืช เช่น เยื่อจากต้นปอ ทำให้กระดาษเป็นวัสดุหลักในการเขียนและพิมพ์
- พ.ศ.718 ชาวจีนได้แกะสลักวิชาความรู้ต่าง ๆ ไว้บนแผ่นหินด้วยวิธีพิมพ์แบบการลอกรูป (stone rubbing)
- พ.ศ.943 ชาวจีนรู้จักนำเขม่าไฟมาทำเป็นหมึกดำ
- พ.ศ.1118 จีนได้เริ่มการพิมพ์โดยใช้บล็อกไม้ (wood block printing)
- พ.ศ.1411 วางเชียะ (Wang Chieh) ได้พิมพ์หนังสื็อเล่มแรกซึ่งยังคงให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ชื่อ วัชรสูตร (Diamond Sutar)
- พ.ศ.1584-1592 ชาวจีนชื่อไป่เช็ง (Pi Sheng) คิดวิธีที่จะนำแม่พิมพ์ที่ใช้แล้วนำกลับมาเรียงใช้ได้อีก วิธีการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียงพิมพ์
- พ.ศ.1933 ชาวเกาหลี เป็นชาติแรกที่คิดหล่อตัวพิมพ์ด้วยโลหะได้สำเร็จ นับเป็นการพิมพ์แบบตัวเรียงด้วยโลหะเป็นครั้งแรก
เทคโนโลยีการพิมพ์ของโลกตะวันตก
- พ.ศ.1963 ยุโรปรู้จักการพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้การพิมพ์ด้วยบล็อกไม้เป็นระบบแรก
- พ.ศ.1993 ชาวเยอรมันชื่อ โจฮัน กูเตนเบิร์ก (Johann Gutenberg)เป็นบุคคลแรกของชาวตะวันตกได้คิดวิธีการพิมพ์ โดยเรียงตัวด้วยโลหะ โลหะ และยังเป็นคนที่คิดออกแบบตัวพิมพ์ การแกะสลักแม่พิมพ์ การหล่อตัวพิมพ์ การทำหมึกพิมพ์และการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ โดยเครื่องพิมพ์ทำด้วยไม้ ดัดแปลงมาจากเครื่องสำหรับคั้นองุ่นเพื่อทำเหล้าองุ่น ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุด และยังปรากฏให้เห็นจนถึงปัจจุบันคือคัมภีร์ไบเบิ้ล 42 บรรทัด (forty-two line Bible) โดยเริ่มพิมพ์ ในราวปี พ.ศ.1995 นับเป็นจุดเริ่มของการพิมพ์แบบเลตเตอร์เพรสในโลกตะวันตก (ด้วยความสามารถในหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์ กูเตนเบิร์ก จึงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการพิมพ์)
- พ.ศ.2038 อัลเบรค ดูเรอร์ (Albrecht Durer) ศิลปินช่างแกะไม้ชาวเยอรมัน ได้คิดวิธีการพิมพ์โดยใช้แม่พิมพ์ทองแดง (copper plate engraving)และใช้พิมพ์แบบกราวัวร์ (gravure) นับเป็นครั้งแรกของการใช้แม่พิมพ์พื้นลึก
- พ.ศ.2333 วิลเลียม นิคโคสัน (William Nicholson)ชาวอังกฤษแห่งนครลอนดอน ได้คิดแท่นพิมพ์แบบทรงกระบอก(cylinderpress) ขึ้น
- พ.ศ.2336 อลัวส์ เซเนเฟลเดอร์ (Alois Senefelder) ชาวเยอรมันแห่งรัฐบาวาเรีย ได้ค้นพบวิธีพิมพ์หิน (lithography) ซึ่งเป็นวิธีการพิมพ์แบบพื้นราบ (planographic printing) ขึ้นเป็นครั้งแรก
เทคโนโลยีการพิมพ์ของประเทศอเมริกา
- พ.ศ.2356 ยอร์จ อี. ไคลเมอร์ (George E. Clymer) ชาวอเมริกันแห่งเมือง ฟิลาเดลเฟีย ได้คิดแท่นพิมพ์โคลัมเบียน (columbian press)เป็นเครื่องพิมพ์ระบบคานกระเดื่อง ซึ่งเปลี่ยนจากการหมุน แกนกลางมาเป็นการกดลงด้วยคานแบบเดียวกับที่ใช้ทับกล้วย ซึ่งเบาแรง แต่มีกำลังมากกว่าเครื่องพิมพ์ ชนิดนี้
- พ.ศ.2401 ยอร์จ พี. กอร์ดอน (George P. Gordon) ชาวอเมริกันแห่งเมืองนิวยอร์ค ได้แม่พิมพ์เพลเตน (platen press) ซึ่งส่วนที่ทำการกดพิมพ์จะเป็นแผ่นราบ เวลาพิมพ์แรงกดจะวิ่งเข้าหาแม่พิมพ์ โดยตัวแม่พิมพ์จะอยู่กับที่ตัวแรงกดจะเป็นที่สำหรับวางกระดาษที่ต้องการจะพิมพ์
- พ.ศ.2447 อิรา วอชิงตัน รูเบล (Ira Washington Rubel) ช่างพิมพ์ชาวอเมริกันด้นพบแนวคิดของการพิมพ์ในระบบออฟเซต (offset printing) ขึ้น
เทคโนโลยีการพิมพ์ของประเทศไทยการพิมพ์ของไทย
- พ.ศ.2205 รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับอิทธิพลของการพิมพ์จากชาวยุโรป คณะมิชชันนารีคาทอลิกฝรั่งเศส โดยมีบาทหลวงสังฆราชองค์หนึ่ง ชื่อหลุยส์ ลาโน (Louis Laneau) ได้แต่งและพิมพ์หนังสือเป็นภาษาไทย แต่ใช้พิมพ์ด้วยตัวอักษรโรมัน หนังสือคำสอนทางคริสต์ศาสนาหนังสือไวยกรณ์ไทยและบาลี และพจนานุกรมไทย
- พ.ศ.2356 มิชชันนารีชาวอเมริกัน คู่หนึ่ง สามีเป็นบาทหลวงชื่อศาสนาจารย์ แอดดอไนราม จั๊ดสัน (Reverend Adoniram Judson) ภรรยาชื่อนางแอน เฮเซนไทล์ จั๊ดสัน (Ann Hazeltine Judson) สังกัดคณะ A.B.C.F.M.(American Board of Commissioners for Foreign Missions) ได้เดินทางมาเผยแผ่คริสต์ศาสนาในประเทศพม่า นางจั๊ดสัน ได้แปลคำสอนของสามีและพระคัมภีร์แมทธิวเป็นภาษาไทย พร้อมกับได้ออกแบบตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้น
- พ.ศ.2371 ได้มีการจัดพิมพ์หนังสือเป็นตัวอักษรไทย ชื่อตำราไวยกรณ์ไทย (A Grammar of The Thai or Siamese Language) แต่งโดยกัปตันเจมส์โลว์ (Captain James Low) ซึ่งเป็นนายทหารอังกฤษ พิมพ์ที่ TheBaptist Mission Press เมืองเซรัมโปร์ นครกัลกัตตา เรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษอธิบายไวยกรณ์ไทยและมีตัวอย่างหน้าหนังสือไทยอยู่หลายหน้าที่เป็นหน้าตัวเขียนลายมืออักษรไทย พิมพ์ด้วยบล็อกโลหะก็มี พิมพ์ด้วยตัวเรียง
- พ.ศ.2373 โรเบิร์ต เบิร์น มิชชันนารีคณะลอนดอน ได้ขอซื้อแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์ภาษาไทยจากโรงพิมพ์คณะแบปติสต์ นครกัลกัลตา มาติดตั้งดำเนินการอยู่ที่สิงคโปร์ และได้รับงานตีพิมพ์คำสอนของพวกมิชชันนารีอเมริกันที่อยู่ในกรุงเทพฯเวลานั้นไปจ้างให้ พิมพ์ด้วย
- พ.ศ.2378 นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley)หรือหมอบรัดเลย์ และคนไทยมักเรียกว่าหมอปลัดเลย์ เป็นมิชชันนารีชาวอเมริกันได้รับมอบแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์ภาษาไทยจากคณะอเมริกันบอร์ด โดยขนย้ายมาจากสิงคโปร์มายัง กรุงเทพฯ
- พ.ศ.2379 เริ่มติดตั้งแท่นพิมพ์และทดลองพิมพ์ภาษาไทย โดยหมอบรัดเลย์ งานที่พิมพ์มีงานของศาสนาจารย์ชาลส์ โรบินสันซึ่งเป็นพวกคำสอนของศาสนา พระบัญญัติสิบประการ คำอธิบายสั้น ๆและบทสรรเสริญ แต่ตัวอักษรยังไม่สวยงาม และตัวพิมพ์ที่นำมาจากสิงคโปร์ก็ได้สึกหรอเสียหายไปตามเวลา หมอบรัดเลย์จึงได้คิดประดิษฐอักษรไทยขึ้นใหม่
- พ.ศ.2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้จ้าง โรงพิมพ์ของมิชชันนารี คณะอเมริกันบอร์ด พิมพ์ประกาศห้ามสูบและขายฝิ่น นับว่าเป็นเอกสารทางราชการของไทยฉบับแรกที่ได้จัดพิมพ์ขึ้น โดยใช้ตัวพิมพ์ภาษาไทยที่นำมาจากสิงคโปร์ ประกาศห้ามสูบและ ขายฝิ่นนี้
- พ.ศ.2387 หมอบรัดเลย์ ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกในเมืองไทย โดยใช้ชื่อว่า บางกอกรีคอดเดอร์ (Bangkok Recorder)
- พ.ศ.2404 หมอบรัดเลย์ได้ซื้อลิขสิทธิ์หนังสือนิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัย นับเป็นการซื้อขายลิขสิทธิ์ทางการพิมพ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย และได้แต่งและแปลหนังสือเองเช่น หนังสือเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญอเมริกา
- พ.ศ.2412 แซมมวล จอห์น สมิธ (Samuel John Smith) ได้ตั้งโรงพิมพ์ที่ตำบลบางคอแหลม หมอสมิธเรียกตัวเองว่าครูสมิธ เพราะสอนหนังสือด้วย จึงเรียกว่าโรงพิมพ์ครูสมิธ จัดพิมพ์หนังสือประเภทร้อยกรอง ประเภทหนังสือประโลมโลกพวกจักร ๆ วงศ์ ๆ นอกจากนี้ยังมีหนังสือสยามรีโปสิโตรี (Siam Repository) หนังสือสยามวีคลีแอดเวอร์ไทเซอร์ (Siam Weekly Advertiser) หนังสือจดหมายเหตุสยาม เป็นต้น
- พ.ศ.2440 โรงพิมพ์อักษรพิมพการ ได้ย้ายไปยังกองมหันตโทษ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพิมพ์กองมหันต์โทษ ภายหลังย้ายไปที่บางขวางจึงเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพิมพ์ลหุโทษ และ ในปี พ.ศ.2482 จึงเปลี่ยนเป็นชื่อโรงพิมพ์มหาดไทย
- รัชกาลที่ 5แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การพิมพ์ก็ได้ก้าวหน้าไปเป็นอย่างมาก เพราะอารยธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่สยามประเทศ มีการเปิดโรงพิมพ์ไปในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯมีโรงพิมพ์เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก พร้อมกับนำระบบการพิมพ์และเครื่องพิมพ์และเทคโนโลยีทางการพิมพ์ใหม่ ๆ เข้ามา
- สมัยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 8การพิมพ์เริ่มมาซบเซาเอา เนื่องจากประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และเผชิญกับww. 2วัสดุและอุปกรณ์การพิมพ์ขาดแคลนเป็นอย่างมาก ที่มีอยู่ก็มีคุณภาพต่ำและราคาแพง
- หลังww.2 การพิมพ์ก็เริ่มฟื้นตัวและเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติและพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก
1 ความคิดเห็น:
เนื้อหายาวไปนิดน้า แต่แบบว่าสรุปสุดๆแล้ว เนื้อหาแน่นจริงๆไม่อยากตัดส่วนไหนออกเลย ถ้าขี้เกียดอ่าน อ่านเฉพาะที่highlightก็ได้(แต่ความจริงเนื้อหาเท่านี้น้อยมากแล้วจากต้นฉบับน้า)
แสดงความคิดเห็น