วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การสัมมนา เกี่ยวกับ Helvetica film

จากการจัดสัมมนาขึ้นเพื่อให้นิสิตนักศึกษามาแสดงความคิดเห็น และทำความเข้าใจร่วมกันภายใต้หัวข้อที่ตัวเองสนใจและเลือกเนื้อหาที่ตัวเองสนใจจาก Helvetica film นั้นมาสัมมนาร่วมกันและจากหัวข้อทางด้านล่างนี้เป็นบทสรุปการสัมมนาของนิสิตนักศึกษา (มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะศิลปกรรม สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ Section 3421)

Josef Muller Brockmann



Michael Bierut

เขาเป็น Graphic designer

ประวัติ
เกิดในค.ศ.1957ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ

เรียน
Graphic design ที่มหาวิทยาลัยซินซินนาตี้
Architect ศิลปะและการวางแผน

ทำงาน
-ค.ศ.1990 เข้าร่วมที่เพนตาแกรม
-เป็นบรรณาธิการร่วมของtree looking Closer graphic design anthologies

-ก่อตั้ง บลอค Design Observer กับ ริค พอยเนอร์ วิลเลี่ยม เดรนเทล และเจสสิก้า เฮลแฟนด์
-งานของเขาเป็นตัวอย่างในคอลเลคชั่นถาวรของพิพิธภัณฑ์ ,Metropolitan Museum of art ในNew York และ the Musee des Arts Decoratifs มอนต์รีล
-ค.ศ.1988-1990 เป็นประธานบริษัทของ The New York Chapter of the America Institute of Graphic Arts(AIGA)
ค.ศ.1989 เป็น the Alliance Graphique International
ค.ศ.2003 เป็นผู้กำกับศิลป์ Club Hall of Fame
และยังมีงานประเภทอื่นๆอีกมากมาย




Stefan Sagmeister

- ในความคิดของสเตฟาน แซกไมสเตอร์ กราฟฟิกดีไซน์ คือภาษาพิเศษที่มีพลังดึงดูดผู้คนได้ในเวลาอันสั้น ฉะนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตั้งแต่ความหมายไปจนถึงรูปแบบและวิธีการนำเสนอ
- ประสบการณ์และผลงานในชีวิตของเขา
1. การออกแบบเพื่องานดนตรี
2 การออกแบบเพื่อสังคม
3. การออกแบบสำหรับองค์กร
4. การออกแบบให้ศิลปิน
5. ออกแบบอย่างนักประพันธ์
- ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 2000 แซกไมสเตอร์ อิงค์ ทำงานออกแบบให้กับอุตสาหกรรมดนตร�เป็นหลัก
- ในช่วงใกล้สิ้นสหัสวรรษที่ผ่านมา แซกไมสเตอร์หันมาให้ความสนใจกับการออกแบบเพื่อสังคมเขาเลือกที่จะหันหลังให้ธุรกิจและอุทิศเวลาหนึ่งปีเต็ม (ปี ค.ศ. 2000) ให้กับการทดลองด้านการออกแบบของตนเองและเพื่อนๆ
- หลังจากปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา แซกไมสเตอร์กลับเข้าสู่โลกธุรกิจ และแซกไมสเตอร์ อิงค์ ก็กลับสู่ความนิยมอีกครั้ง
- ในช่วงหลัง ๆ เขาใช้ถ้อยคำและภาษาในงานออกแบบมากข�้นแซกไมสเตอร์จดบันทึกเร�่องราวเพื่อย้ำเตือนสิ่งที่คิด และอยากทำอยู่เสมอ ซึ่งข้อความในสมุดบันทึกเหล่านี้เองที่กลายมาเป็นผลงานออกแบบชั้นโบว์แดงเขาในเวลาต่อมา
- Stefan Sagmeister เกิดในปี 1962 ที่เมือง Bregenz ประเทศออสเตรีย ครอบครัว Stefan Sagmeister ทำธุรกิจเกี่ยวกับการออกแบบแฟชั่น
- Stefan Sagmeister ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนประจำท้องถิ่นที่เกี่ยวกับวิศวกรรม จากนั้นในปี 1981 Stefan Sagmeister ได้ย้ายไปเรียนกราฟฟิกดีไซน์ที่ Vienna University of Applied Arts จบการศึกษาปริญญาปีชั้น 1 ในปี 1985
- ต่อมาเขาได้เริ่มต้นใช้ชีวีตที่ New York
- ในปี 1987 เขาได้ในทุนการศึกษาเพื่อเข้าไปเรียนที่ Pratt Institute และเขาได้กลับบ้านเกิดที่Vienna อีกครั้งเพื่อรับใช้ชาติเขาได้เกณฑ์ทหารและได้ทำงานในเขตผู้ลี้ภัยและได้ออกแบบโปสเตอร์สำหรับงานเทศกาล Nickelsdorf jazz
- ย้ายไปอยู่ที่ Hongkong ในปี 1991 เพื่อเข้าไปทำงานในบริษัทของ Leo Burnett
- ในปี1992 ได้มีคนมาโต้วิภาควิจารณ์งานประกวดโปสเตอร์ของเขาที่เชื่อว่า bum-bearing 4As
- ในปี 1993 เขาได้กลับไปที่ New York อีกครั้ง เพื่อทำงานกับ Tibor Kalman ที่บริษัทM&Co
หลังจากนั้นอีก6เดือนต่อมา Kalman ได้ปิดบริษัทM&Co ลงไป แต่เขาก็ได้เปิดสตูดิโอของตัวเองขึ้นมา- ในปี 1994 เขาได้คิด Identity ให้บริษัทลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ช�่อ Martin’s jeans stores
- เขาได้เสนอช�่อเข้าช�งตำแหน่ง Grammy Award จากปกอัลบั้ม H. P. Zinker’s Mountains of
Madness
-ในปี1995 ก็ได้ร่วมมือกับ David Byrne ซ�่งได้ออกแบบปกอัลบั้มของ David Byrne
- ในปี 1996 เขาก็เร�่มวางแผนทำปกอัลบั้ม set the Twilight Reeling ให้กับ Lou Reedโดยการทำโปสเตอร์ซ�่งเข�ยนเนื้อร้องที่แสดงถึงบุคลิกของวง ผ่านใบหน้าของนักร้อง
- นอกจากนั้นในปีนี้เขาได้รับช�่อเสียงคู่กับงานโปสเตอร์ของ AIGA ที่มีช�่อว่า Fresh Dialogue talks
- ในปี1997เขาก็ได้ออกแบบโปสเตอร์ของ AIGA ที่มีช�่อว่า Headless Chickenและเขายังได้ออกแบบกราฟฟิกสำหรับ David Byrne’s Feelings และ Rolling Stones’ Bridgesto Babylon
- ในปี1999 Sagmeister ได้เอามีดสลักข้อความทั่วตัวของเขา สำหรับบรรยายใน AIGA ที่Cranbrook ใกล้กับ Detroit เพื่อสื่อถึงตัวตน และการทุ่มเททำงานของเขา

- ในปี 2000 Sagmeister ได้หยุดทำงานในปีนี้ เพื่อวางแผนทำงานทดลองงานต่างๆ และในปี2001 เขาก็ได้เปิดสตูดิโอของเขาอีกครั้ง เพื่อจัดพิมพ์หนังสือของเขา ที่มีช�่อว่า “Made YouLook”ซ�่งเป็นหนังสือที่ผู้คนต่างกล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลาย
- ในปี 2003 เขาได้ออกแบบโปสเตอร์ Adobe Design Achievement Awardsโดยการนำถ้วยกาแฟมาวางเป็นรูปถ้วยรางวัล

- ในปี 2003 เขายังได้ทำโปสเตอร์ On A Bingeโดยใช้ตัวเองเป็นสื่อว�พากษ์บทบาทของดีไซเนอร์ และการบร�โภคอย่างไม่ลืมหูลืมตา


- ในปี 2004 เขาได้ไปเป็นว�ทยากรที่ Berlin และเขายังได้เผยความลับของ “Trying to look good limits my life” ซ�่งเป็นเร�่องราวในภาพต่างๆ


- ในปี 2005 เขาได้ออกแบบ Boxed Set ที่พูดในหัวเร�่อง Once in a Lifetime ซ�่งได้รับรางวัลจาก Grammy Award และปีนี้เขาก็ไดเออกแบบ กล่องใส่โปสการ์ดให้ the guggenheim museum ที่ Berlin ซ�่งแฝงคติถึงความทะนงตัวโดยการตัวโดยการติดฟอยด์สะท้อนที่ด้านขวาเพื่อสะท้อนอีกคร�่งหนึ่งของคำว่า vanity
- มีงานอื่นๆ ที่ stefan ไม่ต้องใช้ตัวตนตัวเองมาแสดงในผลงานแต่เป็นงานที่ดี และมีผลกระทบต่อสังคม ซ�่งเป็นงานที่ทำเพื่อแสดงความห่วงใยต่อสังคม ซ�่งว่าจ้างโดย เบน โคห์น กับนักธุรกิจชั้นนำคนอื่นๆ ซ�่งตั้งเป้าหมายให้รัฐบาลลดงบประมาณการทหาร 15% แล้วนำไปเพิ่มให้กับงบการศึกษา และสาธารณสุข
- ยังมีงานอื่นๆ ที่ทำด้านสังคมอีก ได้แก่ งาน True Majority แสดงขนาดของงบประมาณเพนตากอน งบการศึกษา และงบช่วยเหลือต่างชาติตามลำดับ รถคันแรกมีธนบัตรเป่าฟุ้งลอยอยู่ข้างใน
- Made you Look เขาทำเพราะความต้องการส่วนตัวของเขา
- หนังสือเล่มนี้ยังเป็นห้องโชว์ผลงานที่บอกเล่าเร�่องราวต่างๆ โดยจะDesign เพื่อลูกค้าก่อนและมีเนื้อหาตามมาทีหลัง
- หนังสือเล่มนี้ยังประกอบไปด้วยข้อคิดและกลอุบายในการมองเห็น ซ�่งทำให้เกิดความน่าสนใจ
- หนังสือเล่มนี้ได้รับ feed back ตอบกลับมาจากแรงบันดาลใจของ Stefan เขาบอกว่าเขาเดินไปเร�่อยๆ แล้วนั่งจ�บกาแฟข้างทาง แล้วนั่งดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา หร�อทำ researchนอกจากนี้ สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราได้กว่าจะมาเป็น Idea?
- ได้คิดเกี่ยวกับ Project จากมุมมองที่สามารถเป็นไปได้ บางอย่างที่ได้มาอาจได้มาจากตัวคุณเอง จากแม่คุณ จากลูกค้า จากสี หร�อจาก font ต่างๆ
- บางครั้งการสร้าง Idea ก็เกิดจากการเข�ยนสิ่งต่างๆ ลงใน card (สิ่งที่เป็นไปได้) แล้วนำมาวางกองรวมบนโต๊ะ แล้วนำมาหาความสัมพันธ์ ถ้าคิดไม่ออกก็ให้ลืมมันไป Idea จะมาเองเมื่อคุณไม่ได้นึกถึงมัน
- พื้นฐานของการออกแบบ คือ คิด , ทำเป็นข้อๆ , ตั้งสมาธ� , พบปะพูดคุยกับลูกค้า ,ฟังเพลง , ดู Sketch book เก่าๆของตัวเอง
- สรุปการทำงานของ Sagmeister
1.เขาคำนึงถึง Concept ของลูกค้าทุกครั้งที่คิดงานเพื่อที่จะนำความต้องการของลูกค้านำไปคิดต่อ
2.เขารวบรวมความคิดและนำมาว�เคราะห์หาแนวคิดที่ดีที่สุดที่สามารถตอบโจทย์ของงานและสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้
3.เขาชอบทำงานที่มีการเล่นกับสายตาเสมอ เขาต้องการให้สะดุดตาทุกครั้งเมื่อมองเห็นในครั้งแรกแล้วชอบที่จะซ่อนอะไรไว้ภายใต้งานของเขา
4.เขามีการวางแผนและมี Sketch เสมอ
5.ชอบใช้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งกับงานบ่อยๆ เพราะว่าเป็นอะไรที่ง่าย และถูกที่จะนำเอามาใช้
6.Typography ที่เขาใช้ เขามักจะใช้ลายมือตัวเองและสร้างตัวอักษรจากสิ่งต่างๆ เขาบอกว่าเขาไม่อยากถูกครอบงำจาก type faceของคนอื่น
7.เขาชอบที่จะลดลองใช้วัสดุแตกต่างกันไปกับงานของเขา

graphic design that touches people's heart
- กลายเป็นว�ชาสอนที่ School of Visual Arts , Cooper Union และ Kunste ช�่อว�ชา Can design touch someone's heart?
- เขาเคยเข�ยนไว้ในบทความของเขาว่า งานออกแบบที่ดี ควรจะต้องมีองค์ประกอบที่ดี 2 อย่าง คือ การออกแบบที่ดี (good design) กับ จ�ดมุ่งหมายที่ดี (good cause)
- ต้องหาสมดุลระหว่างดีไซน์ที่ดีกับเนื้อหา หร�อจ�ดมุ่งหมาย
- ถ้าไม่ระวังเนื้อหาจะดังกว่าดีไซน์จนไม่ต้องมีดีไซน์ก็ได้
- ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีจ�ดมุ่งหมายที่ดีก็ปราศจากดีไซน์ที่ดี
- ซ�่งสนับสนุนคำพูดของ แคเธอร�น แมคคอย " ถ้าดีไซน์สวยแค่ไหน ถ้าไม่มีอะไรพูดก็… "

Sagmeister’s theory
- แซกไมสเตอร์พูดถึงเทคนิคที่เขานำมาใช้ในงานออกแบบบ่อยครั้ง ความน่าสนใจอยู่ที่ว่ามันเกี่ยวข้องกับทฤษฎีการรับสารด้วย“ กราฟฟิกดีไซน์นั้นต่างจากภาพยนตร์และงานเขียนอยู่มาก ผู้รับสารของเราจะสนใจสิ่งตรงหน้าแค่เพียงไม่นาน เหมือนเวลามีคนยื่นนามบัตรให้คุณ คุณจะมองผ่านมันเพียงแวบเดียวเท่านั้น
แล้วก็เก็บใส่กระเป๋า หร�อถ้าเป็นหน้าเว็บไซต์ คุณก็อยู่กับมันแค่นาทีสองนาทีเอง” “ ภายในเวลาสั้นๆ ตรงนั้น เราต้องดึงความสนใจจากผู้รับสารให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นนามบัตร หนังสือ หรืออะไรก็ตาม อาจจะออกแบบให้มันเคลื่อนไหวได้ มีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ธรรมดา ทำยังไงก็ได้ให้ผู้คนใช้เวลาอยู่กับผลงานนานข�้นกว่าปกติ จร�งๆ กลเม็ดเร�ยกความสนใจมันก็มีหลายอย่างนะมุขตลกหรือการแกล้งให้ตกใจก็เป็นว�ธ�หนึ่ง แต่สำหรับ ผมแล้วผมชอบให้คนมีส่วนร่วมในการรับชมผลงานของผมมากกว่า ”

LINOTYPE

วันที่Ottmar Mergenthaler ได้แสดงเครื่อง Linecasting(แม่พิมสำหรับหล่อ) เครื่องแรกที่New York
ในปี1886 เขาพูดไว้ว่า “you’ve cast a line of type!” (ถึงเวลาบอกลาการใช้เส้นในตัวอักษรได้แล้ว)
เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวความสำเร็จของ Linotype
สี่ปีต่อมา นักประดิษฐ์ ผู้นี้จึงเริ่มก่อตั้งบริษัท Mergenthaler Linotype Company ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นLinotypeจะได้ัรับความประสบสำเร็จอย่างมาก ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องการที่จะเดินตามรอยเท้าของเขา
วันนี้ Linotype เป็นหนึ่งในแบบอักษรที่มีใช้มากมายทั่วโลก เปรียบเสมือน Linotype นั้นเป็นประตูชัยสำหรับการช่วยเหลือเหล่านักออกแบบ และTypographers ช่วยให้ทั่วโลกได้รับรู้ข่าวสารวิธีการและเพื่อแลกเปลี่ยนแนวความคิด ในTypography ด้วยความปราถนาอย่างแรงกล้าของเหล่าคณะผู้จัดทำ Linotype ที่ต้องการให้สิ่งเหล้านี้เป็นจริง



The Library กับการพัฒนาการของการประดิษฐ์เครื่องทำความร้อนโลหะ ทำให้แบบอักษรต่างๆได้ออกใช้นั้น เป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดงานงานกราฟฟิค และการสื่อสาร
ในทุกๆวันนี้ฟอนต์ต่างๆที่สำคัญและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั้นมีอิทธิพลของLinotype Library อยู่ด้วย แบบอักษรที่เป็นต้นฉบับ ซึ่งคุณสามารถมองเห็นได้บนคอมพิวเตอร์ของคุณ ไม่ว่าจะในลักษณะOpenType หรือ PostScriptล้วนได้รับการอนุญาตจาก Library นี้ทั้งนั้น ฟอนต์ที่เราใช้หลายๆฟอนต์ทุกวันนี้ยังมีเหล่านักออกแบบที่มีชื่อเสียงหลายคน ที่ยึด Linotype Library เป็นหลักในการออกแบบ และนำมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบสมัยใหม่อีกด้วย

Mission Statement แนวความคิดของทีมงานในปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันนี้การผลิตของLinotype นั้นจะผลิตด้วยแบบอักษรที่มีคุณภาพสูง รวมทั้งวิธีการที่เก็บอย่างถูกต้อง พัฒนางานอย่างต่อเนื่อง และค้นหาทางใหม่ๆอยู่ต่อไป เพื่อก้าวไปสู่การออกแบบสำหรับสื่อต่างๆที่จะสามารถถ่ายถอดงานออกมาได้ดั่งใจแก่ผู้คนทั่วโลก

history
LINOTYPE

Linotype เป็นที่ยึดถือใช้กันมาเกือบ 120ปีแล้ว ชื่อเสียงที่ได้รับความนิยม ก็คือ Linotype-Hell AG,Stempel AG โรงพิมพ์ Haas’sche Schriftgießerei and Deberny & Peignot เป็นเสมือนรากของ Linotype Ottmar Mergenthaler ได้สร้างประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการสร้างเครื่องเรียงตัวอักษรชนิดนี้
เขาค้นคว้าอย่างมากมายจนกว่าจะพัฒนามาเป็นเครื่อง Linotype นี้ได้ ซึ่งบริษัทหนังสือพิมพ์หลักๆทั่วโลกได้รับเข้ามาใช้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นดั่งLinotype ที่นำการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆในหนังสือพิมพ์
หนังสือ สื่อโฆษณา และวรรณกรรมต่างๆ จากการประดิษฐ์นี้ทำให้ Ottmar Mergenthaler เป็นผู้ก่อตั้ง Linotype group
จนถึงปัจจุบันภายใต้ชื่อ LINOTYPE ได้ผลิตแบบฟอนต์ต่างๆออกมาเรื่อยๆ และได้รับรางวัลต่างๆมากมายและยังขยายกิจการออกไปทั่วโลก


Gotham Typeface

ประวัติ
Gotham typeface นั้นเป็นตัวอักษรเรขาคณิตแบบ sans serif ซึ่งถูกออกแบบขึ้นในปี ค.ศ. 2000โดยนักออกแบบตัวอักษรชาวอเมริกันที่ชื่อ Tobias Frere-Jones รูปแบบตัวอักษรของ Gotham นั้นได้รับแรงบันดาลใจจากแผ่นป้ายสัญลักษณ์ ที่ได้รับความนิยมในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 (Frere-Jones ได้ให้เครดิตแก่สัญลักษณ์ที่ท่ารถในเมืองนิวยอร์กที่อยู่บนถนน Eight Avenue ซึ่งเป็นแรงบันดาล
ใจให้แก่โปรเจค Gotham) Gotham นั้นมีรูปแบบเรขาคณิตที่ไม่มีระเบียบ และมีความสูงของ x - hight ที่มากพอ ที่ทำให้สามารถอ่านได้ง่ายแม้จะมีขนาดเล็กมาก กลุ่มอักษร Gotham นั้นมีน้ำหนักและความกว้างที่ต่างกัน รวมถึงยังมีแบบเอียงด้วย


Gotham นั้นก็ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับขนาดหลายขนาดเช่นกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับแผ่นป้ายนอกอาคารเป็นอย่างมาก ซึ่งหมายถึงการอ่านง่ายจากระยะทางไกล และมีฟีเจอร์ที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้ดูโดดเด่น ด้วยเหตุนี้ Gotham จึงเหมาะสำหรับการใช้แบบตัวอักษรขนาดเล็กด้วยเช่นกัน ตัวอักษรทึบ (bold) และอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ที่ดูไม่งุนงงนั้นก็แยกออกจากกันได้ง่าย และความสูง x – hight ที่มี
มากของตัวอักษรนั้นก็ทำให้มันสามารถถูกใช้ในขนาดที่เล็กมากกว่าที่ถูกคาดการณ์ไว้ได้อย่างมาก อย่างไรก็ดี Gotham นั้นก็เป็นตัวอักษรที่ใช้ได้จริง รูปทรงเรขาคณิตที่เป็นระเบียบของช่างเขียนแบบจึงสู้ไม่ได้กับความต้องการของความสมส่วนและสี ดังนั้นตัวอักษรที่ไม่สามารถถูกพัฒนาได้โดยการใช้กฎคณิตศาสตร์จึงได้ถูกร่างออกมาโดยไม่ต้องใช้คณิตศาสตร์เลย
Gotham Typeface ได้กลายเป็นตัวอักษรที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในการตีพิมพ์และงานโฆษณา และตัวอักษรนี้ยังได้ถูกแสดงตัวบนฐานของตึก Freedom Tower ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นมาแทนตึก World Trade Center ที่ถล่มไปอีกด้วย

Serif and Sans Serif

Humanistor OLD STYLE ยุคแรกเริ่มของตัวพิมพ์ที่เริ่มสร้างบทบาทของตัว
พิมพ์ขึ้นมา โดยยุคนี้เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1966 (ยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ
เรอนาซองส์) ซึ่งตัวอักษรที่โด่งดัง และเป็นตัวแทนของยุคนี้ก็คือ Garamond นั่นเอง
โดยที่ตัวอักษรในยุคนี้จะมีขา เส้นตีน หรือว่าเชิงอยู่ ที่เรียกกันว่า Serif
ในยุคต่อมาคือ TRANSITIONAL ตัวอักษรได้มีการพัฒนาขึ้นมาจากสร้าง Contrast
กับระหว่างเส้นตั้งและนอน ลดเส้นและส่วนที่ไม่สำคัญลงไป แต่ยังคงไว้ด้วยเส้นเชิง
หรือ Serif โดยตัวพิมพ์ที่เป็นตัวแทนของยุคนี้ชื่อ Baskerville
MODERN ยุคที่ตัวอักษรพัฒนามาถึงที่สุดแห่งความ Contast จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่
าตัวอักษรในยุคนี้ได้มีการพัฒนาอย่างชัด คือเส้นตั้ง เส้นเอน และเส้นนอนจะมีความ
แต่ต่างกันอย่างมาก จนสังเกตุได้ชัด ซึ่งเส้นที่บางเราจะเรียกว่า Hairline โดยชื่อตัวอัก
ษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้คือ Bodoni
EGYPTIAN หรือ SLAB SERIF เป็นยุคที่การค้าขายเจริญ การพิมพ์ก็เริ่มมีบทบาท
มากขึ้นเรื่อย และตัวอักษรในยุคนี้ก็มีเอกลักษณ์อย่างชัดเจนก็คือ เส้นเชิงหรือ Serif
นั้น มีขนาดเท่ากับเส้นแนวตั้งหรือแนวนอนของตัวอักษร ซึ่งตัวอักษรที่เป็นตัวแทน
แห่งยุคนี้คือ Rockwell
และในยุคสุดท้ายถึงปัจจุบัน ก็ได้มีการพัฒนาตัวอักษรมาจนเป็นที่เด่นชัดกที่สุดก็คือ
SANS SERIF ซึ่งในยุคนี้ตัวอักษรจะไม่มีเชิง เป็นการลดทอนความไม่จำเป็นออกไปจ
นถึงที่สุด โดยชื่อตัวอักษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้มีมากมาย แต่เท่าที่โด่งดังที่สุดก็คือ
Helvetica ซึ่งเป็นตัวอักษรที่มีผลกระทบต่องานออกแบบมาที่สุดในช่วงทศวรรษนึงเ
ลยทีเดียว

Grid
พูดถึงในยุโรปเมื่อประมาณ ค.ศ. 1450 มีช่างพิมพ์ได้เห็นถึงปัญหาของการพิมพ์ จากนั้น ได้มีการคิดระบบ Grid เพื่อให้การจัดหน้าง่ายขึ้นนี่คือหนังสือหน้าคู่เล่มแรกที่ใช้ระบบกริด ซึ่งหนังสือสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีหน้าซ้ายและขวาใช้ระบบ Grid แบบเดียวกัน
และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีนักออกแบบกลุ่มหนึ่งซึ่งได้อิทธิพลแนวคิดใหม่เริ่มสงสัยในความเกี่่ยวข้องของโครงสร้าง Grid แบบทัั่วไปหลังจากนั้น พวกนักออกแบบกลุ่มนี้ก็จึงสร้างระบบ Grid ที่ยืดยุ่น ที่สามารถ ช่วยนักออกแบบให้จัดวางหน้ากระดาษลงตัว ต่อมาช่วงกลางๆ ปี ค.ศ.1970 ระบบกริดเริ่มเป็นมารตฐานของนักออกแบบในยุโรปและช่วงต้นๆปี ค.ศ.1980 มีการเริ่มคิดระบบ Grid แบบใหม่นักออกแบบเริ่มมีการทดลองเกี่ยวกับ Grid แบบใหม่และ ก็มีกระแสต่อต้านเกี่ยวกับ Grid และหลังจากนั้นนักออกแบบก็เริ่มไม่ใช้ Grid ในการออกแบบ ต่อมาก็มีแนวคิด Postmodernism

1 column2 column4 column

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Raygun Magazine & David Carson

David Carson
art director, graphic designer, film director และ photographer



ผลงานหนังสือ
- The End of Print : The Graphic Design of David Carson
- David Carson : 2nd sight
- Fotografiks
- Trek : David Carson,Recent work

ผู้มีอิทธิพลของ Graphic Designer จนถึงทุกวันนี้
Newsweek magazine ได้กล่าวว่าเขาเป็นผู้เปลี่ยนแปลงรูปโฉมของงานทางด้าน Graphic Design
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “Single Handedly”
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักออกแบบอัฉริยะ


Raygun Magazine


1.มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กวัยรุ่น กับ คำๆนี้ “the bibble of music+style”
2.Design Language ได้แก่ radical, subversive, revolutionary และ innovation
3.เนื้อหามีการวิเคราะห์เกี่ยวกับ การมีอยู่ของ media และโครงสร้างของงานออกแบบ
4.แบ่งทำงานกันเป็นหลายฝ่าย (many hands) เช่น type designers, graphic designers,photographers และ illustrators โดยให้ความอิสระ(freedom)ทางด้านการออกแบบ
5.ลักษณะงานเป็นแบบ Post-Modern



Raygun Magazine& David Carson


1. คำว่า“the bibble of music+style” เป็นคำที่ดึงดูดใจต่อ David Carsonสำหรับทำงานออกแบบ
2. David Carson จัดการกับงานออกแบบในลักษณะ fully-formedซึ่งมีรูปแบบ chaotic, abstract style

3. The graphic design เป็นกุญแจตัวสำคัญที่ท้าทายความคิดสำหรับการอ่านได้อย่างชัดเจนและการตั้งคำถามกับชิ้นงานออกแบบ

รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างของสิ่งต่างๆ ประกอบด้วยด้าน 3 ด้าน คือ ด้านกว้าง ด้านยาว ด้านหนา เรียกว่า รูป 3 มิติรูปทรงสามารถวัดขนาดและปริมาตรได้ รูปทรงแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. รูปทรงธรรมชาติ (organic form) ได้แก่ หมายถึง รูปทรงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ได้แก่ คน สัตว์ พืช มีลักษณะ 3 มิติรูปทรงในลักษณะนี้จะให้ความมีชีวิตชีวา
2. รูปทรงเรขาคณิต (geometric form) ได้แก่ รูปทรงที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น รูปทรงสามเหลี่ยม รูปทรงสี่เหลี่ยม รูปทรงกลม ฯลฯสามารถแสดงความกว้าง ความยาว และมิติทางลึกหรือหนามีมวลและปริมาณ
3. รูปทรงอิสระ (free form) ได้แก่ รูปทรงที่เกิดขึ้นอย่างอิสระ ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน เช่น รูปทรงของก้อนเมฆ กระแสน้ำ หรือก้อนหิน
Form & Counter form


Letter form คือ รูปทรงของตัวอักษร
Counter form คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากพื้นที่สีขาวที่อยู่ด้านในของตัวอักษร

ในงานออกแบบกราฟิก หรืองานออกแบบ 2 มิติ นอกจากองค์ประกอบหลักที่เรา ได้พยายามจัดให้ลงตัวแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งจริงๆแล้วมีอิทธิพลมากกับภาพที่เราออกแบบ แต่นักออกแบบ จำนวนไม่น้อยเลยที่มองข้ามไป สิ่งนั้นก็คือ ที่ว่าง (Space)ที่ว่างที่อยู่รอบๆองค์ประกอบในภาพจะสอดประสานกับองค์ประกอบที่อยู่ภายในภาพ ทำให้ภาพเกิดความเป็นภาพ และความเป็นพื้นภาพซึ่งมีอิทธิพลต่อการสื่อความหมายของงานออกแบบได้
1. ภาพและพื้นภาพ (Figure & Background) ในการมองภาพ สมองของเราจะสั่งการให้รับรู้ความสำคัญขององค์ประกอบในภาพต่างๆต่างกันไป เรามองเห็นสิ่งที่เป็นองค์ประกอบหลักที่ถูกเน้นที่เด่นกว่าเป็นตัวงาน เป็นตัวภาพ (Figure) ส่วนที่ว่างรอบๆ ภาพ หรือองค์ประกอบที่เหลือนั้นจะกลายเป็นพื้นภาพ (Background) ไปโดยอัตโนมัติ อาจกล่าวได้ว่า ภาพเป็นตัวหลัก พื้นภาพเป็นตัวรอง
2. พื้นที่ของภาพและพื้นภาพ (Positive & Negative Space) งานออกแบบกราฟิกที่ดี ต้องมีความสัมพันธ์ของภาพและพื้นภาพที่ดีพื้นภาพในงานเป็นเสมือนพระรองที่คอยส่งเสริมตัวภาพหรือพระเอกให้ดูโดดเด่นมากกว่า ซึ่งการส่งเสริมกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปร่างของพื้นที่ว่างโดยรอบๆ ภาพ


Negative Spaceขวา Positive Spaceซ้าย

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า งานกราฟิกจะสวยได้ นอกจากองค์ประกอบข้างในงานแล้ว รูปร่างขนาดพื้นที่ว่างรอบรูปก็สามารถเป็นตัวบ่งชี้ความสวยงามลงตัวของงานได้

Helvetica VS Arial

ลักษณะอันคล้ายคลึงของ typeface ของ Helvetica กับ Arial

Helveticaบน Arialล่าง

มีบางตัวอักษรที่แยกออกจากไม่ได้ของHelvetica กับ Arial


นักออกแบบชาวไทยยังเลียนแบบ Helvetica โดยใช้คำว่า Manoptica

โดย มานพ ศรีสมพร ที่ถูกใช้เมื่อพ.ศ.2516ถึง2530 เป็นอักษรขูด ชนิดไม่มีหัว


Emigre


ผู้ก่อตั้งโดย: Rudy Vanderlans และ Zuzana Licko

ออกแบบfont:

  • Base 9 and 12 Citizen
  • Dogma
  • Elektrix
  • Filosofia
  • Hypnopaedia
  • Journal
  • Lo-Res
  • Lo-Res
  • Lunatix
  • Matrix II
  • Matrix II Display
  • Modula
  • Narly
  • Oblong
  • Puzzler
  • Senator
  • Soda Script
  • Solex
  • Tall Pack
  • Tarzana
  • Totally Gothic
  • Triplex
  • Variex
  • Whirligig

Massimo Vignelli

นักออกแบบบรรจุภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์สังกัดโชว์รูม วิกเนลลี่แอสโซซิเอท มีคติประจำใจว่า
"ถ้าคุณสามารถออกแบบของสิ่งหนึ่งได้ คุณก็สามารถออกแบบของทุกสิ่งได้เช่นกัน"
เขาได้ทำงานในขอบเขตแห่งธรรมเนียมสมัยใหม่และเน้นความง่ายโดยการใช้รูปแบบเรขาคณิตพื้นฐาน

การศึกษา
Interior Design ที่สถาบัน The Politecnico di Milano
และศึกษาต่อที่ Universita'di Architettura, Venice

การทำงาน
  • บริษัท Unimark International
  • บริษัท Vignelli Assocoates
  • บริษัท Design Director of Unimark International coporation
  • บริษัท (AGI) alliance graphique and (AIGA) the america institude of graphic arts, a vice President of the arctitectural league,(IDSA)industrial designer society of america

ผลงาน


ออกแบบสัญลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของNew York

เขาได้ทำงานเกือบทุกแขนงเกี่ยวกับdesign เช่น interior Design, Environmental Design, Graphic Design,Package Design และ Funiture Design เป็นต้น

ที่จัดแสดงงานของMassimo Vignelli
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิแตน
  • พิพิธภัณฑ์บรูคลิน
  • พิพิธภัณฑ์คูเปอร์-เฮวิท

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สัมมนาครั้งที่ 2

เทคโนโลยีการพิมพ์ของโลกตะวันออก

  • พ.ศ. 288 ชาวจีนเป็นชาติแรกที่คิดค้นการพิมพ์ได้สำเร็จ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพิมพ์ระบบเลตเตอร์เพรส(Letterpress)
  • พ.ศ.648 ชาวจีนชื่อไซลั่น ได้คิดวิธีการทำกระดาษขึ้นจากเยื่อของพืช เช่น เยื่อจากต้นปอ ทำให้กระดาษเป็นวัสดุหลักในการเขียนและพิมพ์
  • พ.ศ.718 ชาวจีนได้แกะสลักวิชาความรู้ต่าง ๆ ไว้บนแผ่นหินด้วยวิธีพิมพ์แบบการลอกรูป (stone rubbing)
  • พ.ศ.943 ชาวจีนรู้จักนำเขม่าไฟมาทำเป็นหมึกดำ
  • พ.ศ.1118 จีนได้เริ่มการพิมพ์โดยใช้บล็อกไม้ (wood block printing)
  • พ.ศ.1411 วางเชียะ (Wang Chieh) ได้พิมพ์หนังสื็อเล่มแรกซึ่งยังคงให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ชื่อ วัชรสูตร (Diamond Sutar)
  • พ.ศ.1584-1592 ชาวจีนชื่อไป่เช็ง (Pi Sheng) คิดวิธีที่จะนำแม่พิมพ์ที่ใช้แล้วนำกลับมาเรียงใช้ได้อีก วิธีการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียงพิมพ์
  • พ.ศ.1933 ชาวเกาหลี เป็นชาติแรกที่คิดหล่อตัวพิมพ์ด้วยโลหะได้สำเร็จ นับเป็นการพิมพ์แบบตัวเรียงด้วยโลหะเป็นครั้งแรก

เทคโนโลยีการพิมพ์ของโลกตะวันตก

  • พ.ศ.1963 ยุโรปรู้จักการพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้การพิมพ์ด้วยบล็อกไม้เป็นระบบแรก
  • พ.ศ.1993 ชาวเยอรมันชื่อ โจฮัน กูเตนเบิร์ก (Johann Gutenberg)เป็นบุคคลแรกของชาวตะวันตกได้คิดวิธีการพิมพ์ โดยเรียงตัวด้วยโลหะ โลหะ และยังเป็นคนที่คิดออกแบบตัวพิมพ์ การแกะสลักแม่พิมพ์ การหล่อตัวพิมพ์ การทำหมึกพิมพ์และการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ โดยเครื่องพิมพ์ทำด้วยไม้ ดัดแปลงมาจากเครื่องสำหรับคั้นองุ่นเพื่อทำเหล้าองุ่น ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุด และยังปรากฏให้เห็นจนถึงปัจจุบันคือคัมภีร์ไบเบิ้ล 42 บรรทัด (forty-two line Bible) โดยเริ่มพิมพ์ ในราวปี พ.ศ.1995 นับเป็นจุดเริ่มของการพิมพ์แบบเลตเตอร์เพรสในโลกตะวันตก (ด้วยความสามารถในหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์ กูเตนเบิร์ก จึงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการพิมพ์)
  • พ.ศ.2038 อัลเบรค ดูเรอร์ (Albrecht Durer) ศิลปินช่างแกะไม้ชาวเยอรมัน ได้คิดวิธีการพิมพ์โดยใช้แม่พิมพ์ทองแดง (copper plate engraving)และใช้พิมพ์แบบกราวัวร์ (gravure) นับเป็นครั้งแรกของการใช้แม่พิมพ์พื้นลึก
  • พ.ศ.2333 วิลเลียม นิคโคสัน (William Nicholson)ชาวอังกฤษแห่งนครลอนดอน ได้คิดแท่นพิมพ์แบบทรงกระบอก(cylinderpress) ขึ้น

  • พ.ศ.2336 อลัวส์ เซเนเฟลเดอร์ (Alois Senefelder) ชาวเยอรมันแห่งรัฐบาวาเรีย ได้ค้นพบวิธีพิมพ์หิน (lithography) ซึ่งเป็นวิธีการพิมพ์แบบพื้นราบ (planographic printing) ขึ้นเป็นครั้งแรก

เทคโนโลยีการพิมพ์ของประเทศอเมริกา

  • พ.ศ.2356 ยอร์จ อี. ไคลเมอร์ (George E. Clymer) ชาวอเมริกันแห่งเมือง ฟิลาเดลเฟีย ได้คิดแท่นพิมพ์โคลัมเบียน (columbian press)เป็นเครื่องพิมพ์ระบบคานกระเดื่อง ซึ่งเปลี่ยนจากการหมุน แกนกลางมาเป็นการกดลงด้วยคานแบบเดียวกับที่ใช้ทับกล้วย ซึ่งเบาแรง แต่มีกำลังมากกว่าเครื่องพิมพ์ ชนิดนี้
  • พ.ศ.2401 ยอร์จ พี. กอร์ดอน (George P. Gordon) ชาวอเมริกันแห่งเมืองนิวยอร์ค ได้แม่พิมพ์เพลเตน (platen press) ซึ่งส่วนที่ทำการกดพิมพ์จะเป็นแผ่นราบ เวลาพิมพ์แรงกดจะวิ่งเข้าหาแม่พิมพ์ โดยตัวแม่พิมพ์จะอยู่กับที่ตัวแรงกดจะเป็นที่สำหรับวางกระดาษที่ต้องการจะพิมพ์

  • พ.ศ.2447 อิรา วอชิงตัน รูเบล (Ira Washington Rubel) ช่างพิมพ์ชาวอเมริกันด้นพบแนวคิดของการพิมพ์ในระบบออฟเซต (offset printing) ขึ้น

เทคโนโลยีการพิมพ์ของประเทศไทยการพิมพ์ของไทย


  • พ.ศ.2205 รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับอิทธิพลของการพิมพ์จากชาวยุโรป คณะมิชชันนารีคาทอลิกฝรั่งเศส โดยมีบาทหลวงสังฆราชองค์หนึ่ง ชื่อหลุยส์ ลาโน (Louis Laneau) ได้แต่งและพิมพ์หนังสือเป็นภาษาไทย แต่ใช้พิมพ์ด้วยตัวอักษรโรมัน หนังสือคำสอนทางคริสต์ศาสนาหนังสือไวยกรณ์ไทยและบาลี และพจนานุกรมไทย
  • พ.ศ.2356 มิชชันนารีชาวอเมริกัน คู่หนึ่ง สามีเป็นบาทหลวงชื่อศาสนาจารย์ แอดดอไนราม จั๊ดสัน (Reverend Adoniram Judson) ภรรยาชื่อนางแอน เฮเซนไทล์ จั๊ดสัน (Ann Hazeltine Judson) สังกัดคณะ A.B.C.F.M.(American Board of Commissioners for Foreign Missions) ได้เดินทางมาเผยแผ่คริสต์ศาสนาในประเทศพม่า นางจั๊ดสัน ได้แปลคำสอนของสามีและพระคัมภีร์แมทธิวเป็นภาษาไทย พร้อมกับได้ออกแบบตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้น
  • พ.ศ.2371 ได้มีการจัดพิมพ์หนังสือเป็นตัวอักษรไทย ชื่อตำราไวยกรณ์ไทย (A Grammar of The Thai or Siamese Language) แต่งโดยกัปตันเจมส์โลว์ (Captain James Low) ซึ่งเป็นนายทหารอังกฤษ พิมพ์ที่ TheBaptist Mission Press เมืองเซรัมโปร์ นครกัลกัตตา เรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษอธิบายไวยกรณ์ไทยและมีตัวอย่างหน้าหนังสือไทยอยู่หลายหน้าที่เป็นหน้าตัวเขียนลายมืออักษรไทย พิมพ์ด้วยบล็อกโลหะก็มี พิมพ์ด้วยตัวเรียง
  • พ.ศ.2373 โรเบิร์ต เบิร์น มิชชันนารีคณะลอนดอน ได้ขอซื้อแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์ภาษาไทยจากโรงพิมพ์คณะแบปติสต์ นครกัลกัลตา มาติดตั้งดำเนินการอยู่ที่สิงคโปร์ และได้รับงานตีพิมพ์คำสอนของพวกมิชชันนารีอเมริกันที่อยู่ในกรุงเทพฯเวลานั้นไปจ้างให้ พิมพ์ด้วย
  • พ.ศ.2378 นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley)หรือหมอบรัดเลย์ และคนไทยมักเรียกว่าหมอปลัดเลย์ เป็นมิชชันนารีชาวอเมริกันได้รับมอบแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์ภาษาไทยจากคณะอเมริกันบอร์ด โดยขนย้ายมาจากสิงคโปร์มายัง กรุงเทพฯ
  • พ.ศ.2379 เริ่มติดตั้งแท่นพิมพ์และทดลองพิมพ์ภาษาไทย โดยหมอบรัดเลย์ งานที่พิมพ์มีงานของศาสนาจารย์ชาลส์ โรบินสันซึ่งเป็นพวกคำสอนของศาสนา พระบัญญัติสิบประการ คำอธิบายสั้น ๆและบทสรรเสริญ แต่ตัวอักษรยังไม่สวยงาม และตัวพิมพ์ที่นำมาจากสิงคโปร์ก็ได้สึกหรอเสียหายไปตามเวลา หมอบรัดเลย์จึงได้คิดประดิษฐอักษรไทยขึ้นใหม่
  • พ.ศ.2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้จ้าง โรงพิมพ์ของมิชชันนารี คณะอเมริกันบอร์ด พิมพ์ประกาศห้ามสูบและขายฝิ่น นับว่าเป็นเอกสารทางราชการของไทยฉบับแรกที่ได้จัดพิมพ์ขึ้น โดยใช้ตัวพิมพ์ภาษาไทยที่นำมาจากสิงคโปร์ ประกาศห้ามสูบและ ขายฝิ่นนี้
  • พ.ศ.2387 หมอบรัดเลย์ ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกในเมืองไทย โดยใช้ชื่อว่า บางกอกรีคอดเดอร์ (Bangkok Recorder)
  • พ.ศ.2404 หมอบรัดเลย์ได้ซื้อลิขสิทธิ์หนังสือนิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัย นับเป็นการซื้อขายลิขสิทธิ์ทางการพิมพ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย และได้แต่งและแปลหนังสือเองเช่น หนังสือเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญอเมริกา
  • พ.ศ.2412 แซมมวล จอห์น สมิธ (Samuel John Smith) ได้ตั้งโรงพิมพ์ที่ตำบลบางคอแหลม หมอสมิธเรียกตัวเองว่าครูสมิธ เพราะสอนหนังสือด้วย จึงเรียกว่าโรงพิมพ์ครูสมิธ จัดพิมพ์หนังสือประเภทร้อยกรอง ประเภทหนังสือประโลมโลกพวกจักร ๆ วงศ์ ๆ นอกจากนี้ยังมีหนังสือสยามรีโปสิโตรี (Siam Repository) หนังสือสยามวีคลีแอดเวอร์ไทเซอร์ (Siam Weekly Advertiser) หนังสือจดหมายเหตุสยาม เป็นต้น
  • พ.ศ.2440 โรงพิมพ์อักษรพิมพการ ได้ย้ายไปยังกองมหันตโทษ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพิมพ์กองมหันต์โทษ ภายหลังย้ายไปที่บางขวางจึงเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพิมพ์ลหุโทษ และ ในปี พ.ศ.2482 จึงเปลี่ยนเป็นชื่อโรงพิมพ์มหาดไทย
  • รัชกาลที่ 5แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การพิมพ์ก็ได้ก้าวหน้าไปเป็นอย่างมาก เพราะอารยธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่สยามประเทศ มีการเปิดโรงพิมพ์ไปในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯมีโรงพิมพ์เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก พร้อมกับนำระบบการพิมพ์และเครื่องพิมพ์และเทคโนโลยีทางการพิมพ์ใหม่ ๆ เข้ามา
  • สมัยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 8การพิมพ์เริ่มมาซบเซาเอา เนื่องจากประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และเผชิญกับww. 2วัสดุและอุปกรณ์การพิมพ์ขาดแคลนเป็นอย่างมาก ที่มีอยู่ก็มีคุณภาพต่ำและราคาแพง
  • หลังww.2 การพิมพ์ก็เริ่มฟื้นตัวและเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติและพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

MATHEW CARTER

  • เกิดที่ LONDON , ENGLAND ปี 1937 เขาเป็น TYPOGRAPHY DESIGNER
  • ผลงาน เช่น TYPEFACE BELL CENTENNIAL ให้กับบริษัท

- AT&T TYPEFACE GALLIARD

- MERGENTHALER LINOTYPE TYPEFACE VERDANA

- MICROSOFT TYPEFACE SOPHIA

- MUSEUM OF FINE ART TYPEFACE WALKER สำหรับ WALKER ART CENTER ใน MINNEAPOLIS TYPEFACE WRIGLEYเพื่อใช้กับกีฬาTYPEFACE MILLER ที่ใช้ในนิตยสาร TIMEหนังสือพิมพ์ NEWSWEEK และ US NEWS & WORLD REPORT

BITS TREAM

  • ในปี ค.ศ.1981 เขาและเพื่อน 3 คน คือ MIKE PARKER , CHERIE CONE และ ROB FRIEDMAN ใน CAMBRIDGE ได้ก่อตั้งบริษัทออกแบบตัวหนังสือ เป็นแหล่งผลิตตัวหนังสือที่ใช้กับระบบดิจิตอล

CARTER & CONE TYPE

  • ในปี ค.ศ.1991 เขาและCHERIE CONE ได้ก่อตั้งบริษัทใหม่นี้ขึ้นหลังจากได้ลาออกจาก BITS TREAM

ในปัจจุบันงานของ MATHEW CARTER ยังคงมีให้เห็นกันอยู่ทุกวันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : MATHEW CARTER มีความเกี่ยวข้องกับ Helvetica อย่างไร?

Wim Crouwel

  • เกิดในปี ค.ศ. 1928ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นนักออกแบบกราฟิกและ typograph
  • ผลงาน เช่น Fonts ที่เขาออกแบบ- New Alphabet 1,2 and 3- Stedelijk Alphabet- Fodor Alphabet เป็นต้น

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : ตัวอักษร Helvetica กับ Wim Crouwel มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

Norm'Manuel Krebs and Dimitri Buni

  • นักออกแบบManuel Krebs and Dimitri Buni พวกเขาได้จัดตั้ง Norm studio ขึ้น งานของโนมจะเป็นลักษณะเฉพาะที่เน้นทักษะขั้นสูงในการออกแบบตัวอักษร และการพอมพ์ที่เน้นกับเทคนิคต่างๆ
  • ผลงาน เช่น ออกแบบธนบัตร (ความหมายของการออกแบบ "การเปิดประตูกว้าง ต้อนรับโลกเสรีปัจจุบัน")โดยใช้สิ่งดึงดูดใจและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ความสวยงาม ลงลงงานชิ้นนี้ เป็นต้น

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : ตัวอย่างผลงานของศิลปิน

Push pin studio

ประวัติ

Design Plus(ชื่อเรียกกลุ่มของตัวเอง)

  • ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ.1954 โดย Seymour Chwast , Edward Sorel , Milton Glaser’Reynold Ruffins
  • ผลงาน เช่น Almanack (ปฏิทินบอกเล่าเหตุการณ์)

Push Pin Studios

  • ผลงาน เช่น Flora and fauna in wood(สิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า Monthly Graphic) ,Another Holiday Issue(Push Pin Graphic)

Milton Glaser ,Inc.

  • ผลงาน เช่น Crime (Push Pin Graphic)

ลักษณะผลงานทางศิลปะ

  • Push Pin Studios เป็นงานศิลปะแบบ Modernism
  • Push Pin Studios นิยมใช้ Typeface Helvetica ในงานออกแบบด้วยเหตุเพราะ เป็น Typeface ที่ทันสมัยใช้ได้หลายรูปแบบ

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : Helvetica ที่ใช้ใน Push pin studio

AIGA

  • AIGA ย่อมาจาก American Insitulre or graphic art เป็นสถาบันการออกแบบจากอเมริกา
  • จัดตั้งในปี 1914
  • เป็นแหล่งรวมของเหล่าดีไซด์เนอร์เริ่มต้นแลกเปลี่ยนความคิดข้อมูล มีส่วนร่วมในการวิจารณ์รวมไปถึงการค้นคว้าและการเรียนการสอนอย่างเข้มข้น สถาบันนี้จะสนับสนุนและนำเสนองานออกแบบอย่างมีมาตรฐาน และเก็บรวบรวมผลงานเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่

เว็บไซค์ : http://www.aiga.org/

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : Art Director ของ AIGA คนปัจจุบันคือใคร?(ด้วยเหตุที่ว่า Art Director มีผลต่อแนวทางการออกแบบซึ่งในแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป)

International typographic style

  • งานออกแบบในรูปแบบของ Swiss Style ซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลา 1950's-1970's
  • เป็นรูปแบบพื้นฐานของ Typography
  • จุดเด่นในการออกแบบคือ
- การออกแบบจะเน้นย้ำเรื่องความสะอาดตา
- การใช้ grid เพื่อความเรียบร้อย
- ตัวอักษรแบบ san-serif type face โดยเฉพาะ Helvetica ที่เป็นที่รู้จักกันดีในช่วงปี 1961
- อาจใช้ภาพถ่ายขาวดำแทนการวาดรูป หรือการวาดรูปเขียน
  • Artists เช่น Josef Muller ,Brockmann เป็นต้น
  • ในปัจจุบันนี้ยังได้รับอิทธิพลของการออกแบบนี้อยู่ด้วยเช่นกัน

ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม : การใช้ Helvetica ใน International typographic style

Postmodernism

มีเกณฑ์การแบ่งยุคตามแนวความคิด
ก่อนที่จะศึกษาศิลปะยุค Post-Modernism เราต้องรู้จักศิลปะยุค Modernism เสียก่อน ซึ่งเป็นยุคที่เกิดก่อนหน้ายุคนี้

ยุค Modernism
เป็นยุคที่มีลักษณะทางศิลปะที่เน้นความสำคัญเกี่ยวกับ "Form" ซึ่งถูกลดและตัดทอน(มีข้อมูลเพิ่มเติมอีก)ลง
ยุค Post-Modernism
- สังคมหลังสมัยใหม่กลางปี ค.ศ.1980
- เป็นยุคที่มีลักษณะทางศิลปะต่อต้านรูปแบบศิลปะวัตถุที่เคร่งครัด(Modernism) ลักษณะของผลงานจะเป็นแนวตลกขบขัน ล้อเลียน เป็นต้น
- Artists เช่น Judy Chicago ,Richard Prince เป็นต้น
- นอกจากนี้ยังมีศาสตร์และศิลป์ด้านอื่นๆอีกมากมายของแนวความคิด Post-Modernism เช่น วรรณกรรม ดนตรี ฯลฯ
ข้อควรศึกษาเพิ่มเติม : ตัวหนังสือที่ใช้ในยุคPost-Modernism

ตัวอักษรในสภาพแวดล้อมและชีวิตประจำวัน

ตัวอักษรมีไว้เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของการสื่อสารให้แก่ผู้รับสาร
ปัญหา:การสื่อสารที่ใช้ภาษาไทยทำให้ชาวต่างชาติไม่สามารถเข้าใจได้
ข้อสังเกต:บางป้ายไม่มีDesign เช่น ป้ายรับสมัครพนักงาน ป้ายขายบ้าน เป็นต้น
ข้อที่ควรศึกษาเพิ่มเติม :
1.ให้กังขาว่าป้ายจำพวกเหล่านี้ควรมี design เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่?
2.ศึกษาตัวอักษรของไทยที่ใช้สภาพแวดล้อมและชีวิตประจำวันในประเทศของเราว่ามีลักษณะเป็นแบบไหน อย่างไร ทำไม ที่ไหน?